เลียวเนล อันเดรส "เลโอ" เมสซี กูซีตีนี (สเปน: Lionel Andrés "Leo" Messi Cuccitini[4] เสียงอ่าน: [ljoˈnel anˈdɾes ˈmesi]) เกิดเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ค.ศ. 1987 เป็นนักฟุตบอลชาวอาร์เจนตินา ปัจจุบันเล่นอยู่ในสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนาและฟุตบอลทีมชาติอาร์เจนตินา ในตำแหน่งกองหน้าหรือปีก เขายังถือสัญชาติสเปนอีกด้วย ซึ่งทำให้เขาถือว่าเป็นนักฟุตบอลยุโรป เขาเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ดีที่สุดในรุ่นของเขา[5][6][7]และมักถูกกล่าวถึงว่าเป็นผู้เล่นร่วมสมัยที่ดีที่สุดในโลก[8]
เมสซีได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของทวีปยุโรปและรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลกแห่งปีเมื่อเขาอายุ 21 ปี และได้รับรางวัลในปี ค.ศ. 2009 (นักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของทวีปยุโรปและรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลกแห่งปี ค.ศ. 2009)[8][9][10][11] และได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปี ค.ศ. 2010[12] ,2011 และ 2012 สไตล์การเล่นของเขาและความสามารถ มักถูกเปรียบเทียบเสมอเดียโก มาราโดนา ซึ่งพูดถึงเมสซีว่าเป็นผู้สืบทอดจากเขา[13][14]
เมสซีเริ่มเล่นฟุตบอลตั้งแต่อายุยังน้อยและบาร์เซโลนาก็ค้นพบแนวโน้มที่ดีของเขาอย่างรวดเร็ว เขาออกจากทีมเยาวชนสโมสรกีฬานิวเวลส์โอลด์บอยส์ เมืองโรซารีโอ เมื่อปี ค.ศ. 2000 และย้ายพร้อมครอบครัวไปอยู่ยุโรป โดยบาร์เซโลนาเสนอในการรักษาภาวะขาดฮอร์โมนการเจริญเติบโตให้กับเมสซี เขาเปิดตัวครั้งแรกในฤดูกาล 2004–05 โดยทำลายสถิติทีม โดยเป็นผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดที่ทำประตูในลีก เกียรติประวัติในฤดูกาลแรกของเขาคือชนะการแข่งขันในลาลีกา และชนะครั้งที่ 2 ในลีก รวมถึงในแชมเปียนส์ลีก ในปี ค.ศ. 2006 ฤดูกาลแจ้งเกิดของเขาคือฤดูกาล 2006–07 เขาเป็นผู้เล่นในทีมชุดใหญ่เต็มตัว โดยทำแฮตทริกในเอลกลาซีโก จบฤดูกาลยิงประตู 14 ประตู ใน 26 เกมในลีก จากนั้นเมสซีก็ประสบความสำเร็จที่สุดในอาชีพของเขาในฤดูกาล 2008–09 ยิงประตู 38 ประตู เป็นส่วนสำคัญของทีมในการชนะ 3 รายการในฤดูกาลเดียว แต่แล้วสถิตินี้ก็ถูกบดบังไปในฤดูกาลถัดมา ฤดูกาล 2009–10 ที่เมสซียิงประตูไป 47 ประตูในทุกการแข่งขัน เทียบเท่าสถิติของโรนัลโดที่เคยทำให้กับบาร์เซโลนา แต่เขาก็ทำลายสถิตินี้ในฤดูกาล 2010–11 กับประตู 53 ประตูในทุกการแข่งขัน
เมสซีเป็นส่วนหนึ่งของทีมที่ชนะเลิศในลาลีกา 5 ครั้ง แชมเปียนส์ลีก 3 ครั้ง ยิงประตูได้ 2 ประตูในนัดตัดสิน ในนัดแข่งกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดทั้งในปี ค.ศ. 2009 และ 2011 เขาไม่ได้ลงสนามในนัดที่บาร์เซโลนาชนะอาร์เซนอลในปี ค.ศ. 2006 แต่ก็ได้รับเหรียญทองในฐานะผู้ชนะในการแข่งขัน หลังจากยิง 12 ประตูในแชมเปียนส์ลีกฤดูกาล 2010–11 ทำให้เมสซีเป็นนักฟุตบอลที่ยิงประตูได้สูงสุดอันดับ 3 รองจากเกิร์ด มึลเลอร์และฌ็อง-ปีแยร์ ปาแป็ง อย่างไรก็ตามเมสซีเป็นคนแรกที่ได้รับรางวัลผู้ทำประตูสูงสุดในแชมเปียนส์ลีก 3 ปีติดต่อกัน หลังจากที่แชมเปียนส์ลีกเปลี่ยนระบบการแข่งขันในปี ค.ศ. 1992[15]
เมสซีเป็นผู้ทำประตูสูงสุดในการแข่งขันยูทแชมเปียนชิป 2005 กับ 6 ประตู รวมถึง 2 ประตูในนัดตัดสิน หลังจากนั้นไม่นานเขาก็เป็นส่วนหนึ่งในทีมชุดใหญ่ฟุตบอลทีมชาติอาร์เจนตินา และในปี ค.ศ. 2006 เขาเป็นนักฟุตบอลทีมชาติอาร์เจนตินาที่อายุน้อยที่สุดที่เล่นในฟุตบอลโลก และได้ตำแหน่งรองชนะเลิศไปในโคปาอเมริกาในปี ถัดมา และในปี ค.ศ. 2008 ที่ปักกิ่งเขาได้รับเหรียญทองในกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน ในนามของฟุตบอลทีมชาติอาร์เจนตินา
เนื้อหา
[ซ่อน]ชีวิตช่วงแรก
เมสซีเกิดเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ค.ศ. 1987 ที่โรงพยาบาลอีตาเลียโนการีบัลดี ในโรซารีโอ ซานตาเฟ เป็นบุตรของคอร์เค โอราเซียว เมสซี (เกิดปี ค.ศ. 1958) เป็นคนงานโรงงาน และเซเลีย มารีอา กุกซิตตีนี คนทำความสะอาดนอกเวลา[16][17][18][19] ครอบครัวทางฝั่งพ่อมาจากเมืองในประเทศอิตาลี คือเมืองอันโกนา โดยบรรพบุรุษของเขา อันเจโล เมสซี อพยพมาอยู่อาร์เจนตินา ในปี ค.ศ. 1883[20][21] เขามีพี่ชาย 2 คนชื่อรอดรีโกและมาเตียส และมีพี่สาวชื่อ มารีอา ซอล[22] เมื่อเขาอายุ 5 ปี ได้เริ่มเล่นฟุตบอลให้กับกรันโดลี สโมสรท้องถิ่น ที่พ่อเขาคอร์เค เป็นโค้ช[23] ในปี ค.ศ. 1998 เมสซีย้ายไปอยู่สโมสรกีฬานิวเวลส์โอลด์บอยส์ ซึ่งอยู่ในเมืองบ้านเกิดเขาโรซารีโอ[23] พออายุ 11 ปี เขาอยู่ในภาวะขาดฮอร์โมนการเจริญเติบโต[24] สโมสรอัตเลตีโกรีเบอร์ปลาเต สโมสรในปรีเมราดีวีซีออนอาร์เจนตินา ได้แสดงความสนใจในเมสซี แต่ก็ไม่มีเงินเพียงพอที่จะจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้เขา เป็นเงิน 900 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ ต่อเดือน[19] การ์เลส ราซัก ผู้บริหารด้านกีฬาของสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนา ได้รับรู้ความสามารถของเมสซี ผ่านญาติของของเมสซีในเมืองเลย์ดา แคว้นคาเทโลเนีย และเมสซีพร้อมพ่อของเขาก็สามารถที่จะเตรียมการทดสอบได้[19] บาร์เซโลนาเซ็นสัญญาเขาหลังจากเห็นเขาเล่น[25] โดยเสนอจ่ายค่าพยาบาลให้ถ้าเขายินยอมที่จะย้ายมาอยู่สเปน[23] ครอบครัวของเขาย้ายมายังยุโรปและเขาเริ่มเล่นสโมสรเยาวชนของทีม[25] เขามีลูกพี่ลูกน้องในวงการฟุตบอล คือ มักซี เบียนกุชชี และเอมานวยล์ เบียนกุชชี[26][27]
ระดับอาชีพ
บาร์เซโลนา
เมสซี ลงแข่งอย่างเป็นทางการครั้งแรกกับทีมชุดใหญ่เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน ค.ศ. 2003 ขณะที่อายุได้ 16 ปี 145 วัน ในนัดกระชับมิตรกับสโมสรฟุตบอลปอร์ตู[28][29] ต่อมาไม่ถึงปี ฟรังก์ ไรการ์ด(Frank Rijkaard) ให้เขาลงแข่งในลีกครั้งแรกในนัดแข่งกับแอร์ราเซเด อัสปัญญอล เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม ค.ศ. 2004 (ขณะอายุ 17 ปี 114 วัน) ทำให้เขาเป็นผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดอันดับ 3 ที่เล่นให้กับสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนา และเป็นผู้เล่นสโมสรที่อายุน้อยที่สุดที่เล่นในลาลีกา แต่ต่อมาสถิตินี้ถูกทำลายโดยเพื่อนร่วมทีมบาร์เซโลนา โบยาน เกอร์กิช และเมื่อเขาทำประตูแรกในทีมชุดใหญ่ให้กับสโมสรที่แข่งกับอัลบาเซเตบาลอมเปีย เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 2005 ขณะที่เมสซีอายุ 17 ปี 10 เดือน 7 วัน ทำให้เขาเป็นผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดที่ทำประตูในลาลีกา ให้กับทีมบาร์เซโลนา[30] แต่สถิติก็ถูกทำลายอีกครั้งโดยโบยาน เกอร์กิชในปี ค.ศ. 2007 ที่ยิงประตูจากการจ่ายของเมสซี[31] เมสซีพูดเกี่ยวกับอดีตโค้ชของเขาฟรังก์ ไรการ์ดว่า "ผมจะไม่มีวันลืมความจริงที่ผมได้เปิดตัวอาชีพของผมนี้ ว่าเขาได้สร้างความเชื่อมั่นในตัวผมขณะที่ผมอายุเพียง 16 หรือ 17 ปี"[32]
ฤดูกาล 2005–06
เมื่อวันที่ 16 กันยายน เป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 3 เดือนที่บาร์เซโลนาประกาศปรับสัญญาใหม่ของเมสซี ครั้งนี้ปรับการจ่ายให้เขาในฐานะผู้เล่นทีมชุดใหญ่และขยายไปจนถึงเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2014[23]เมสซีได้รับสัญชาติสเปนเมื่อวันที่ 26 กันยายน ค.ศ. 2005[33] และเปิดตัวในฤดูกาลในลาลีกา และในนัดนอกบ้านนัดแรกในแชมเปียนส์ลีก เมื่อวันที่ 27 กันยายน โดยเจอกับสโมสรฟุตบอลอิตาลี สโมสรอูดีเนเซกัลโช[28] แฟนฟุตบอลที่สนามกัมนอว ของทีมบาร์เซโลนา ได้ยืนปรบมือเป็นเกียรติเมื่อเขาเปลี่ยนตัว กับความนิ่งและการส่งผ่านบอลให้กับรอนัลดีนโยทำให้แฟนบาร์เซโลนาประทับใจ[34][35]
เมสซียิงประตู 6 ประตู ในการลงแข่ง 17 นัดในลีก และยิง 1 ใน 6 ประตูในแชมเปียนส์ลีก แต่ฤดูกาลของเขาจบก่อนกำหนดเมื่อวันที่ 7 มีนาคม ค.ศ. 2006 เขาได้รับบาดเจ็บจากกล้ามเนื้อฉีกที่ต้นขา ในนัดที่ 2 ที่แข่งกับสโมสรฟุตบอลเชลซีในแชมเปียนส์ลีก[36] บาร์เซโลนาโดยการนำทีมของ ฟรังก์ ไรการ์ด จบฤดูกาลด้วยการเป็นทีมชนะเลิศในลาลีกาและแชมเปียนส์ลีก[37][38]
ฤดูกาล 2006–07
ในฤดูกาล 2006–07 เมสซีลงเล่นในฐานะทีมชุดใหญ่ ทำประตู 14 ประตูใน 26 นัด[39] ในวันที่ 12 พฤศจิกายน ในเกมที่เจอกับเรอัลซาราโกซา เมสซีบาดเจ็บจากกระดูกฝ่าเท้าแตก ทำให้เขาไม่ได้ลงแข่งเป็นเวลา 3 เดือน[40][41] เขาพักฟื้นจากอาการบาดเจ็บที่อาร์เจนตินา และกลับมาลงแข่งอีกครั้งกับราซิงซานตันเดร์ เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์[42] โดยลงในครึ่งหลัง ในฐานะตัวสำรอง เมื่อวันที่ 11 มีนาคม ในนัดการแข่งขันเอลกลาซีโก เมสซีกลับสู่ฝีมือเต็มตัวอีกครั้ง โดยยิงแฮตทริก กับผู้เล่นของบาร์เซโลนา 10 คน เสมอ 3–3[43] การทำแฮตทริกในครั้งนี้ ทำให้เขาเป็นผู้เล่นคนแรกนับตั้งแต่ อีบัน ซาโมราโน (เรอัลมาดริด ในฤดูกาล 1994–95) ที่ทำแฮตทริกในเอลกลาซีโก[44] ไล่ไปจนจบฤดูกาลเขาทำประตูได้มากขึ้นเรื่อย ๆ 11 ประตูในจาก 14 นัด มาจาก 13 นัดสุดท้ายของฤดูกาล[45]
เมสซียังพิสูจน์ถึงความเป็น "มาราโดนาคนใหม่" ที่ไม่ใช่คำพูดเกินจริง โดยเกือบจะโด่งดังเท่ามาราโดนา ในการทำประตูในฤดูกาลเดียวกัน[46] เมื่อวันที่ 18 เมษายน ค.ศ. 2007 เขายิง 2 ประตูในโกปาเดลเรย์ ในรอบรองชนะเลิศที่แข่งกับสโมสรฟุตบอลเคตาเฟ ที่มีความคล้ายคลึงกับประตูที่มีชื่อเสียงของมาราโดนา ในครั้งแข่งกับทีมชาติอังกฤษ ในฟุตบอลโลก 1986 ที่เม็กซิโก ที่เรียกว่า "ประตูแห่งศตวรรษ"[47] สื่อต่าง ๆ ของโลกต่างเปรียบเทียบเขากับมาราโดนา และสื่อสเปนเรียกเมสซีว่า "เมสซีโดนา"[48] เขายิงในระยะเดียวกับมาราโดนา ที่ 62 เมตร (203 ฟุต) หลบคู่ต่อสู้ในจำนวนเดียวกัน (6 คน รวมถึงผู้รักษาประตู) และทำประตูได้ในตำแหน่งที่คล้ายกันมาก และวิ่งไปยังธงมุมสนาม เหมือนอย่างที่มาราโดนาทำไว้ในเม็กซิโกเมื่อ 21 ปีก่อน[46] ในงานแถลงข่าวหลังการแข่งขัน เพื่อนร่วมทีม เดโก พูดว่า "เป็นการทำประตูที่ดีที่สุด ที่ผมเคยเห็นในชีวิตของผม"[49] ในการแข่งกับแอร์ราเซเด อัสปัญญอล เมสซีทำประตูที่คล้ายกับ "หัตถ์พระเจ้า" ของมาราโดนา ในฟุตบอลโลกนัดแข่งกับทีมชาติอังกฤษรอบก่อนชิงชนะเลิศ เมสซีดีดตัวไปที่ลูกบอลและใช้มือของเขายิงประตูผ่านผู้รักษาประตูคาร์ลอส คาเมนี (Carlos Kameni)[50] และถึงแม้ว่าผู้เล่นของอัสปัญญอลจะประท้วงและภาพช้าจากโทรทัศน์แสดงให้เห็นว่าเป็นแฮนด์บอล แต่ผู้ตัดสินก็ยังถือว่าเป็นประตู[50]
ฤดูกาล 2007–08
ในฤดูกาล 2007–08 เมสซี ยิง 5 ประตูในสัปดาห์เดียว ทำให้บาร์เซโลนาติดใน 4 อันดับแรกในลาลีกา เมื่อวันที่ 19 กันยายน เขายิง 1 ประตูในนัดชนะลียง 3–0 ที่บ้านตัวเองในการแข่งขันแชมเปียนส์ลีก[51] เขายิง 2 ประตูในการแข่งกับสโมสรฟุตบอลเซบียา เมื่อวันที่ 22 กันยายน[52] จากนั้นเมื่อวันที่ 26 กันยายน เมสซียิงอีก 2 ประตูในชัยชนะเหนือเรอัลซาราโกซา 4–1[53] ประตูถัดไป ในนัดเยือนเลบันเตอูเด 4-1 เมื่อวันที่ 29 กันยายน ค.ศ. 2007 และประตูที่ 2 ในแชมเปียนส์ลีกในฤดูกาลนั้น เขายิงในนัดพบกับสโมสรฟุตบอลชตุทการ์ท เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ เมสซีลงเล่นอย่างเป็นทางการกับบาร์เซโลนาเป็นนัดที่ 100 โดยแข่งกับสโมสรฟุตบอลบาเลนเซีย[54]
เมสซีได้รับการเสนอชื่อรางวัลฟิฟโปรครั้งที่ 10 ในสาขากองหน้า[55] แบบสำรวจออนไลน์ของหนังสือพิมพ์สเปนที่ชื่อ มาร์กา ได้ให้เขาเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดในโลก ด้วยคะแนนร้อยละ 77[56] นักเขียนจากหนังสือพิมพ์ในบาร์เซโลนา อย่าง เอลมุนโดเดปอร์ตีโบ และ สปอร์ต ได้เขียนว่ารางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของทวีปยุโรปสมควรเป็นของเมสซี และได้รับการสนับสนุนจากฟรันซ์ เบคเคนเบาเออร์[57] ผู้มีชื่อเสียงด้านฟุตบอลอย่าง ฟรันเชสโก ตอตตี กล่าวว่า เมสซีเป็นหนึ่งในนักฟุตบอลที่ดีที่สุดในโลก ในปัจจุบัน[58]
เมสซีไม่ได้ลงแข่งเป็นเวลา 6 อาทิตย์หลังจากบาดเจ็บเมื่อวันที่ 4 มีนาคม เมื่อกล้ามเนื้อบริเวณต้นขาซ้ายฉีก ในระหว่างการแข่งขันแชมเปียนส์ลีก ที่พบกับสโมสรฟุตบอลเซลติก เป็นครั้งที่ 4 ใน 3 ฤดูกาลที่เมสซีบาดเจ็บ[59] หลังจากการมาจากอาการบาดเจ็บ เมสซียิงประตูสุดท้ายในฤดูกาล 2007–08 แข่งกับบาเลนเซีย เมื่อ 4 พฤษภาคม ค.ศ. 2008 โดยชนะ 6–0 เมื่อจบฤดูกาลเมสซียิงประตู 16 ประตู และช่วยส่งยิงประตู 13 ครั้งในทุกการแข่งขัน
ฤดูกาล 2008–09
หลังจากที่รอนัลดีนโยออกจากสโมสรไป เมสซีก็สวมเสื้อเบอร์ 10 แทน[60] เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 2008 ในนัดการแข่งขันแชมเปียนส์ลีก แข่งกับสโมสรฟุตบอลชาคห์ตาร์โดเนตสค์ เมสซียิงได้ 2 ประตูใน 7 นาทีสุดท้าย โดยเปลี่ยนตัวแทนเธียร์รี อองรี พลิกสถานการณ์จากแพ้ 1–0 ไปเป็นชนะ 2–1 ให้กับบาร์เซโลนา[61] และเกมในลีกนัดถัดมา แข่งกับสโมสรฟุตบอลอัตเลตีโกมาดริด ที่ถือเป็นการปะทะกับมิตรสหายที่ดีของเมสซี คือ เซร์คีโอ อาเกวโร[62] เมสซียิงประตูจากการเตะฟรีคิก และยังช่วยส่งบอลยิงประตูให้กับบาร์เซโลนา ชนะ 6–1[63] เมสซียิงตุงตาข่ายอีกครั้งในนัดแข่งกับเซบียา โดยยิงลูกวอลเลย์ในระยะ 23 เมตร (25 หลา) และจากนั้นก็เลี้ยงลูกผ่านผู้รักษาประตูและยิงประตูจากมุมแคบได้[64] เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ. 2008 ในการแข่งเอลกลาซีโกนัดแรกของฤดูกาล เมสซียิงประตูที่ 2 ในนัดที่บาร์เซโลนาชนะเรอัลมาดริด 2–0[65] เขายังได้ที่ 2 ในรายชื่อผู้ได้รางวัลผู้เล่นแห่งปีของฟีฟ่า ปี 2008 ด้วยคะแนน 678 คะแนน[10]
เมสซียิงแฮตทริกแรกในปี ค.ศ. 2009 ในโกปาเดลเรย์ ในนัดแข่งกับอัตเลตีโกมาดริด โดยบาร์เซโลนาชนะไป 3-1[66] เมสซียิงอีกประตูสำคัญ 2 ประตู เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2009 โดยลงมาในฐานะตัวสำรองในครึ่งหลัง ช่วยให้บาร์เซโลนาชนะราซิงซานตันเดร์ 1–2 หลังจากที่ตามอยู่ 1–0 และประตูการยิงที่ 2 ของเขาถือเป็นประตูที่ 5000 ในลีกของสโมสรบาร์เซโลนา[67] ในการแข่งครั้งที่ 29 ในลาลีกา เมสซียิงประตูที่ 30 ของฤดูกาล นับในทุกการแข่งขัน ทำให้ทีมชนะ 6–0 ต่อสโมสรฟุตบอลมาลากา[68] เมื่อวันที่ 8 เมษายน ค.ศ. 2009 เขายิง 2 ประตูในนัดแข่งกับสโมสรฟุตบอลบาเยิร์น มิวนิค ในแชมเปียส์ลีก เขายิงเป็นประตูที่ 8 ในการแข่งถ้วยนี้[69] เมื่อวันที่ 18 เมษายน เมสซียิงประตูที่ 20 ของฤดูกาลในนัดชนะเคตาเฟ 1–0 ทำให้บาร์เซโลนายังคงมีคะแนนอันดับสูงสุดในลีกและนำเรอัลมาดริด 6 คะแนน[70]
เมื่อใกล้จบฤดูกาล เมสซียิง 2 ประตู (ประตูที่ 35 และ 36 ในทุกการแข่งขัน) นำ 6–2 ชนะเหนือเรอัลมาดริด ที่สนามซานเตียโก เบร์นาเบว[71] ที่ถือเป็นการแพ้มากที่สุดของเรอัลมาดริดตั้งแต่ ค.ศ. 1930[72] หลังยิงประตู เขาวิ่งไปหาเหล่าคนดูและกล้อง และแสดงเสื้อบาร์เซโลนาและแสดงเสื้อทีเชิร์ตอีกตัวที่เขียนว่าSíndrome X Fràgil เป็นภาษาคาตาลันหมายถึง กลุ่มอาการโครโมโซมเอกซ์เปราะบาง (Fragile X syndrome) เพื่อแสดงการสนับสนุนต่อเด็กที่ป่วยจากอาการดังกล่าว[73] เมสซีมีส่วนต่อการเสริมกำลังในระหว่างที่อันเดรส อีเนียสตา บาดเจ็บ ในการแข่งขันกับสโมสรฟุตบอลเชลซี ในแชมเปียนส์ลีกในรอบรองชนะเลิศ ได้ส่งให้บาร์เซโลนาผ่านไปเจอกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ในรอบตัดสิน เขายังได้รับถ้วยรางวัลโกปาเดลเรย์ครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม ยิง 1 ประตูและช่วยส่งลูกยิงประตูอีก 2 ลูก ในชัยชนะ 4–1 เหนือแอทเลติกบิลบาโอ[74] เขาช่วยทีมเป็นผู้ชนะในครั้งที่ 2 ในลาลีกา เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม บาร์เซโลนาชนะในแชมเปียนส์ลีกโดยเขาทำประตูที่ 2 ในนาทีที่ 70 ทำให้บาร์เซโลนามีประตูนำ 2 ประตู เขายังเป็นผู้ทำประตูสูงสุดในแชมเปียนส์ลีก และเป็นผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ ที่ทำประตูได้ 9 ประตู[75] เมสซียังได้รับรางวัลกองหน้าระดับสโมสรยอดเยี่ยมแห่งปีและรางวัลนักฟุตบอลระดับสโมสรยอดเยี่ยมแห่งปี จบฤดูกาลได้อย่างสวยงามในยุโรป[76] ชัยชนะนี้หมายถึงบาร์เซโลนาชนะถ้วยโกปาเดลเรย์ ในลาลีกา และแชมเปียนส์ลีกในฤดูกาลเดียว[77] และเป็นครั้งแรกที่สโมสรฟุตบอลสเปนจะชนะได้ 3 รางวัลรวด
ฤดูกาล 2009–10
"เมื่อเห็นเขาวิ่ง ก็ไม่มีอะไรมาหยุดเมสซีได้ เขาเป็นนักฟุตบอลคนเดียวที่สามารถเปลี่ยนทิศทางได้ด้วยฝีเท้า"
"เขาเป็นนักฟุตบอลที่ดีที่สุดในโลกที่มีมา เขา (เหมือนกับ) เป็นเพลย์สเตชัน เขาสามารถหาประโยชน์ได้จากทุกความผิดพลาดที่พวกเราทำ"
หลังจากทีมชนะในการแข่งขันยูฟ่าซูเปอร์คัพ 2009 ผู้จัดการทีมชูเซบ กวาร์ดีโอลา แสดงความมั่นใจว่าเมสซีอาจเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดที่เขาเคยเห็น[80] เมื่อวันที่ 18 กันยายน เมสซีเซ็นสัญญาใหม่กับบาร์เซโลนา ที่จะสิ้นสุดในปี ค.ศ. 2016 ด้วยสัญญา 250 ล้านยูโร ทำให้เมสซี รวมถึงซลาตัน อิบราฮิโมวิช เป็นผู้เล่นที่มีค่าตัวแพงที่สุดในลาลีกา โดยเมสซีได้เงินราว 9.5 ล้านยูโรต่อปี[81][82] หลังจากนั้น 4 วัน ในวันที่ 22 กันยายน เมสซียิง 2 ประตูและช่วยส่งลูกยิงประตูอีก 1 ลูกในชัยชนะที่บาร์ซาชนะราซิงซานตันเดร์ 4–1 ในลาลีกา[83] เขายิงประตูแรกในถ้วยยุโรปของฤดูกาลนี้ เมื่อวันที่ 29 กันยายน นำบาร์เซโลนาชนะดีนาโมเคียฟ 2–0[84] จากนั้นยิง 1 ประตูในลาลีกาที่ชนะ 6–1 ต่อเรอัลซาราโกซาที่สนามกัมนอว[85]
เมสซีได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของทวีปยุโรป เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม ค.ศ. 2009 ด้วยคะแนน 473 คะแนน นำรองผู้ชนะ คริสเตียโน โรนัลโดซึ่งได้คะแนน 233[86][87][88] หลังจากนั้นนิตยสาร ฟรานซ์ฟุตบอล นำคำพูดที่เมสซีลงไว้ว่า "ผมอุทิศให้กับครอบครัวของผม พวกเขาเป็นของขวัญของผมเสมอเมื่อผมต้องการมันและในบางครั้งรู้สึกอารมณ์แกร่งขึ้นมากกว่าผม"[89]
เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม เมสซียิงประตูในนัดชิงชนะเลิศของ ฟีฟ่าคลับเวิลด์คัพ 2009 ในนัดแข่งกับเอสตูเดียนเตสที่อาบูดาบี ทำให้สโมสรชนะการแข่งครั้งถ้วยที่ 6 ในปี[90] หลังจากนั้น 2 วันเขาได้รับรางวัลนักฟุตบอลแห่งปีของฟีฟ่า เบียดคริสเตียโน โรนัลโด, ชาบี, กาก้า และอันเดรส อีเนียสตา ไปได้ เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับรางวัลนี้ และเป็นชาวอาร์เจนตินาคนแรกที่ได้รับรางวัลนี้[91] เมื่อวันที่ 10 มกราคม ค.ศ. 2010 เมสซียิงแฮตทริกแรกในปี ค.ศ. 2010 และเป็นแฮตทริกแรกของฤดูกาล ในนัดแข่งกับเซเดเตเนรีเฟ ด้วยประตูชนะ 0–5[92] และเมื่อวันที่ 17 มกราคม เขายิงประตูที่ 100 ให้กับสโมสรในเกมที่ชนะเซบียา 4–0[93]
เมสซีสร้างความประทับใจโดยยิงประตู 11 ประตูใน 5 เกม เกมแรกยิงประตูในนาทีที่ 84 ในนัดแข่งกับสโมสรฟุตบอลมาลากา ด้วยประตูชนะ 2–1[94]จากนั้นเขายิง 2 ประตูในนัดแข่งกับอูเดอัลเมรีอา เสมอ 2–2[95] เขายังยิงอย่างต่อเนื่องในสัปดาห์แห่งความประทับใจ ที่เขายิงไป 8 ประตู โดยเริ่มยิงแฮตทริกในนัดชนะบาเลนเซียในบ้าน 3–0[96] จากนั้นยิง 2 ประตูในนัดแข่งกับสโมสรฟุตบอลชตุทการ์ท ในชัยชนะ 4–0 ทำให้บาร์เซโลนาผ่านสู่รอบก่อนรอบสุดท้ายในแชมเปียนส์ลีก[97] และท้ายสุดกับการยิงแฮตทริกอีกครั้งในนัดไปเยือนซาราโกซาชนะ 4–2[98] ทำให้เป็นผู้เล่นบาร์เซโลนาคนแรกที่ทำแฮตทริกได้ติดต่อกันในลาลีกา[99] เขาลงแข่งอย่างเป็นทางการเป็นนัดที่ 200 กับบาร์เซโลนาในนัดแข่งกับโอซาซูนา เมื่อวันที่ 24 มีนาคม ค.ศ. 2010[100]
เมื่อวันที่ 6 เมษายน ค.ศ. 2010 เป็นครั้งแรกในอาชีพของเขาที่ยิง 4 ประตูในนัดเดียว ในนัดเป็นทีมเหย้าแข่งกับอาร์เซนอล ในชัยชนะ 4–1 ในแชมเปียนส์ลีกรอบก่อนรอบสุดท้าย นัดที่ 2[101][102][103] ทำให้เขาเป็นผู้เล่นบาร์เซโลนาที่ยิงประตูได้มากที่สุดตลอดกาลในแชมเปียนส์ลีก แซงหน้ารีวัลดูไป[104] เมื่อวันที่ 10 เมษายน เมสซียิงประตูที่ 40 ของฤดูกาลในประตูแรกในชัยชนะเยือนเรอัลมาดริด 2–0[105] เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม เมสซียิงประตูที่ 50 ของฤดูกาลและยิง 2 ประตูในการเยือนบียาร์เรอัล ด้วยชัยชนะ 4–1[106] 3 วันต่อมา เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม เมสซียิง 2 ประตูในนัดเป็นทีมเหย้าแข่งกับเตเรรีเฟ ด้วยชัยชนะ 4–1[107] เมสซียิงประตูที่ 32 ในฤดูกาลนี้ของลาลีกาเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม ในการเยือนเซบียา[108] และนัดสุดท้ายของฤดูกาลแข่งกับบายาโดลิด เขายิง 2 ประตูในครึ่งหลัง ทำให้สถิติยิงจำนวนประตูของสโมสรใน 1 ฤดูกาลของลาลีกาเทียบเท่ากับโรนัลโด ที่ 32 ประตู ที่เกิดขึ้นเมื่อฤดูกาล 1996–97[109][110] แต่ตามหลังสถิติตลอดกาล 4 ประตู ของเตลโม ซาร์รา ที่ทำไว้ 38 ประตูในฤดูกาลเดียวของลาลีกา[111] เมสซีได้รับรางวัลผู้เล่นลาลีกาแห่งปี เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน ค.ศ. 2010[112]
ฤดูกาล 2010–11
เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม ค.ศ. 2010 เมสซียิงแฮตทริก ในนัดเปิดฤดูกาลของเขาในชัยชนะ 4–0 เหนือเซบียา ในการชิงถ้วยซูเปร์โกปาเดเอสปาญา ทำให้บาร์เซโลนาได้ถ้วยแรกของฤดูกาล หลังจากแพ้ 1–3 ในการแข่งนัดแรก[113] เขาเริ่มต้นฤดูกาลในลาลีกา ด้วยการยิงประตูในนาทีที่ 3 ในนัดแข่งกับราซิงซานตันเดร์ เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม ค.ศ. 2010 เขายังคงแสดงฝีมือยอดเยี่ยมในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในนัดแบ่งกลุ่ม แข่งกับพานาทีไนกอส (Panathinaikos) โดยเขายิงได้ 2 ประตู และยังช่วยส่งลูกยิงประตูอีก 2 ลูก และยังยิงเข้ากรอบประตูใน 2 ครั้ง
เมื่อวันที่ 19 กันยายน ค.ศ. 2010 เมสซีได้รับอาการบาดเจ็บบริเวณข้อเท้าเนื่องจากการเข้าแย่งลูกจากกองหลังสโมสรฟุตบอลอัตเลตีโกมาดริด โตมัส อุยฟาลูซี (Tomáš Ujfaluši) ในนาทีที่ 92 ในนัดที่ 3 ที่สนามกีฬาบีเซนเตกัลเดรอน โดยเริ่มแรกนั้นเกรงว่าเมสซีจะบาดเจ็บจากข้อเท้าแตกและทำให้เขาไม่สามารถลงแข่งได้อย่างน้อย 6 เดือน แต่จากผลเอ็มอาร์ไอแสดงให้เห็นในวันถัดไปในบาร์เซโลนาว่า เกิดการเคล็ดที่เอ็นภายในและภายนอกที่ข้อเท้าขวา[114] เพื่อนร่วมทีม ดาบิด บียา ออกมากล่าวว่า "การเข้าแย่งลูกปะทะเมสซีเป็นสิ่งที่หยาบคาย" หลังจากดูวิดีโอที่เล่นแล้ว เขายังเชื่อว่า "ไม่ได้กระแทกให้เจ็บ"[115] จากเหตุนี้ทำให้สื่อวิพากษ์วิจารณ์กันไปทั่วและนำไปสู่การถกเถียงเรื่องความเท่าเทียมกันในการปกป้องผู้เล่นในเกม
เมื่อเมสซีหายดีแล้ว เขายิงประตูในนัดเสมอกับเอร์เรเซเดมายอร์กา 1–1 จากนั้นยิงอีก 1 ประตูในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก นัดเจอกับสโมสรฟุตบอลโคเปนเฮเกน ช่วยให้ทีมชนะในบ้าน 2–0[116] เขายังคงยิงประตูอย่างต่อเนื่อง ในนัดเจอกับซาราโกซาและเซบียา เมื่อเริ่มเดือนพฤศจิกายนเขายิงประตูโดยไปเยือนโคเปนเฮเกน เสมอ 1–1 และไปเยือนสโมสรฟุตบอลเคตาเฟชนะ 3–1 ที่เขาช่วยจ่ายบอลให้ดาบิด บียาและเปโดร โรดรีเกซ ยิง[117] ในนัดต่อไปเจอกับบียาร์เรอัล เขายิงประตูที่น่าแปลกใจจากการร่วมมือกับเปโดร ทำให้นำ 2–1 จากนั้นก็ยิงอีกประตู ทำให้บาร์เซโลนาชนะ 3–1 และเป็นนัดที่ 7 ติดต่อกันที่เมสซียิงประตู ทำลายสถิติตัวเขาเองที่เคยยิงได้ 6 นัดติดต่อกัน ในนัดพบกับอูเดอัลเมรีอา เขาทำแฮตทริกครั้งที่ 2 ของฤดูกาลในนัดเยือนที่ชนะไป 8–0 ประตูที่ 2 ในนัดนี้เป็นประตูที่ 100 ในลาลีกาของเขา[118] เขายิงประตูได้ 9 นัดติดต่อกัน (รวมถึง 10 นัดติดต่อกันในนัดกระชับมิตรแข่งกับทีมชาติบราซิล) โดยไปเยือนพานาทีไนกอส ชนะ 3–0[119]
ในนัดเอลกลาซีโกเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน เมสซียิงประตูช่วยให้บาร์เซโลนาชนะ 5–0 และเมสซียังช่วยส่งลูกยิงประตูให้กับบียา 2 ครั้ง[120] ในนัดถัดมาเขาทั้งยิงและช่วยจ่ายลูกยิงให้นัดเจอกับโอซาซูนา[121] เขาตอกย้ำรอยเดิมโดยการยิงประตูในนัดแข่งกับเรอัลโซเซียดัด[122]ในนัดดาร์บีที่แข่งกับแอร์ราเซเด อัสปัญญอล บาร์เซโลนาชนะ 1-5 เขาช่วยส่งจ่ายลูกยิงให้กับเปโดรและบียา คนละหนึ่งประตู[123] ประตูแรกในปี ค.ศ. 2011 ของเขา แข่งกับเดปอร์ตีโบเดลาโกรูญา ยิงจากลูกฟรีคิก ในนัดที่ชนะ 4–0 โดยการไปเยือน ซึ่งเขาก็ยังช่วยยิงลูกจ่ายประตูให้กับทั้งเปโดรและบียาอีกครั้ง[124]
เมสซีได้รับรางวัลฟีฟ่าบัลลงดอร์ 2010 ชนะเพื่อนร่วมทีมของเขาอย่าง ชาบีและอีเนียสตา[125] โดยเขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนี้เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน[126] 2 วันถัดหลังได้รับรางวัล เขายิงแฮตทริกแรกของปี และเป็นแฮตทริกที่ 3 ในฤดูกาล ในนัดแข่งกับเรอัลเบติส[127] กลับมาสู่ในลีก เขายิงประตูในครึ่งหลัง โดยยิงประตูที่ 2 ของทีม จากจุดโทษในนัดแข่งกับราซิงเดซานตันเดร์[128] หลังจากยิงประตูเขาแสดงข้อความบนเสื้อในเขียนว่า "สุขสันต์วันเกิด คุณแม่"[129] เขายิงประตูด้วยความมั่นใจในนัดแข่งกับอัลเมรีอา ในโกปาเดลเรย์รอบรองชนะเลิศ[130]จากนั้นไม่ถึงอาทิตย์ก็ยิงอีกครั้งในนัดแข่งกับเอร์กูเลส[131] ในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ บาร์เซโลนาสร้างสถิติใหม่ โดยการชนะติดต่อกันมากที่สุดในลีก โดยชนะติดต่อกัน 16 ครั้ง หลังจากที่ทีมชนะอัตเลตีโกมาดริด 3–0 ที่สนามกัมนอว[132] เมสซียิงแฮตทริกเพื่อแสดงความมั่นใจว่าชัยชนะจะอยู่ที่ทีมเขา หลังจบการแข่งขันเขาพูดว่า "เป็นเกียรติที่สามารถทำลายสถิติที่ยิ่งใหญ่ที่ทำขึ้นเหมือนอย่างอัลเฟรโด ดี สเตฟาโน" และ "ถ้าสถิตินี้ยังคงมีไปอีกนานเพราะว่ามันซับซ้อนที่จะชนะและเราก็สามารถทำถึงมันโดยชนะในทีมที่ยาก กับสถานการณ์อันเลวร้าย ซึ่งก็ทำให้มันยิ่งยากขึ้น"[133]
หลังจากไม่ได้ทำประตูใน 2 นัด เขายิงประตูในชัยชนะเหนือแอทเลติกบิลบาโอที่บาร์เซโลนาชนะ 2–1[134] ในสัปดาห์ต่อมาเขายิงประตู เป็นผู้นำในลีกฤดูกาลนี้ ในนัดแข่งกับมายอร์กา 3–0 ในการไปเยือน.[135] สร้างสถิติเทียบเท่าทีมจากแคว้นบาสก์ เรอัลโซเซียดัด ในฤดูกาล 1979–80 ที่ชนะ 19 ครั้งติดต่อกันในฐานะทีมเยือน แต่สถิตินี้ก็ถูกทำลายไปในอีก 3 วันต่อมาเมื่อเมสซียิงประตูเดียวในชัยชนะการไปเยือนบาเลนเซีย[136] เมื่อวันที่ 8 มีนาคม เมสซียิง 2 ประตูในนัดเจอกับอาร์เซนอล ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกที่สนามกัมนอว ได้ช่วยให้บาร์เซโลนาชนะด้วยประตูรวม 3–1 และเข้าสู่รอบก่อนชิงชนะเลิศ[137] หลังจากไม่สามารถยิงประตูได้ร่วมเดือน เขายิงประตูในนัดแข่งกับอัลเมรีอา ประตูที่ 2 เป็นประตูที่ 47 ในฤดูกาลนี้ของเขา เทียบเท่าสถิติการทำประตูในฤดูกาลก่อนของเขา[138] เขาทำลายสถิติเมื่อวันที่ 12 เมษายน ค.ศ. 2011 โดยยิงประตูในชัยชนะเหนือชาคห์ตาร์โดเนตสค์ ในการแข่งยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ทำให้เขาถือสถิติผู้ทำประตูสูงสุดในฤดูกาลเดียวของบาร์เซโลนา[139] เขายิงประตูที่ 8 ในเอลกลาซีโก เสมอ 1–1 ที่สนามซานเตียโก เบร์นาเบว เมื่อวันที่ 23 เมษายน เมสซียิงประตูที่ 50 ของฤดูกาลในนัดแข่งกับโอซาซูนา 2–0 ในบ้าน เมื่อเขาออกมาเปลี่ยนตัวในนาทีที่ 60[140]
ในนัดแรกของแชมเปียนส์ลีกรอบรองชนะเลิศ เขาสร้างความประทับใจ โดยยิง 2 ประตูในนัดที่พบกับเรอัลมาดริด ชนะด้วยจำนวนประตู 2–0 ประตูที่ 2 เป็นการเลี้ยงลูกหลบผู้เล่นหลายคน และยังได้รับการกล่าวถึงว่าเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดในการแข่งขันนี้[141][142] ในการแข่งขันยูฟาแชมเปียนส์ลีกที่เว็มบลี เมสซีทำประตูตอกย้ำให้บาร์เซโลนาคว้าแชมป์เป็นสมัยที่สามในรอบหกปี และเป็นสมัยที่สี่ในประวัติศาสตร์สโมสร[143]
ฤดูกาล 2011–12
ในการแข่งขันชิงถ้วยซูเปร์โกปาเดเอสปาญา 2011 เมสซียิงประตู 3 ประตู และช่วยจ่ายลูกยิงประตูอีก 2 ประตู ทำให้มีผลประตูรวม 5–4 ชนะทีมเรอัลมาดริดไปได้[144] ในนัดถัดมาอย่างเป็นทางการเขายิงประตูอีกครั้งหลังจากการส่งหลังผิดพลาดของเฟรดี กัวริน และได้ช่วงส่งประตูให้เซสก์ ฟาเบรกัสยิงประตู ทำให้ชนะโปร์ตู 2-0 ในการแข่งขันยูฟ่าซูเปอร์คัพ[145] เมื่อเริ่มฤดูกาลในลาลีกา เมสซียิง 2 ประตูในนัดแข่งกับบียาร์เรอัล[146] และเขายังสามารถยิงแฮตทริกได้ต่อเนื่องในฐานะทีมเหย้ากับโอซาซูนา[147]และอัตเลตีโกมาดริด[148]
ในวันที่ 28 กันยายน เมสซียิง 2 ประตูในแชมเปียนส์ลีกใน 2 นัดแรกของฤดูกาล แข่งกับสโมสรฟุตบอลบาเตโบรีซอฟ[149] ทำให้เขาเป็นผู้ยิงประตูสูงสุดอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์ของบาร์เซโลนา เทียบเท่ากับลัสโซล คูบาลา กับ 194 ประตู ในทุกการแข่งขันที่เป็นการแข่งขันอย่างเป็นทางการ[150] แต่ต่อมาเขาก็ทำลายสถิตินี้โดยยิงอีก 2 ประตูเมื่อแข่งกับราซิงเดซานตันเดร์[151] และเหลืออีกประตูเดียวก็ถึง 200 ประตู เมื่อเขายิงแฮตทริกในนัดแข่งที่บ้าน แข่งกับมายอร์กา และยิงได้แซงหน้าคูบาลา ที่จำนวน 132 ประตู[152] เขายิงประตูที่ 200 ให้กับบาร์เซโลนา และอีก 2 ลูก เป็นแฮตทริกในนัดแข่งกับวิกตอเรียเปิลเซน (Viktoria Plzeň) ในแชมเปียนส์ลีก[153] เมสซียิงประตูแรกของเขาได้ในซานมาเมส ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ทำให้เสมอกับแอทเลติกบิลบาโอ 2–2[154]นัดต่อมาเขายิงประตูในนัดแข่งกับเรอัลซาราโกซา[155] เขายิงจุดโทษให้ทีมชนะในการเยือน 3–2 แข่งกับเอซี มิลาน ในรอบแบ่งกลุ่มแชมเปียนส์ลีก[156] เขายิงประตูได้ครั้งแรกกับราโยบาเยกาโน ในนัดชนะที่บ้าน 4–0[157] จากนั้นยิง 1 ประตู นัดแข่งกับเลบันเตอูเด ทำให้ทีมชนะในบ้าน 5-0[158]
เมสซีได้รับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมยุโรปของฟีฟ่าปี ค.ศ. 2011 โดยชนะเพื่อนร่วมทีม ชาบี และผู้เล่นจากเรอัลมาดริด คริสเตียโน โรนัลโด เมสซียังได้รับรางวัลฟีฟ่าบัลลงดอร์ 2011 อีกครั้ง โดยชนะชาบีและคริสเตียโน โรนัลโดเช่นกัน การได้รับรางวัลบัลลงดอร์ครั้งนี้ ทำให้เมสซีเป็นผู้เล่นคนที่ 4 ที่ได้รับรางวัลบัลลงดอร์ 3 ครั้ง ก่อนหน้านี้คือ โยฮัน ครัฟฟ์, มีแชล ปลาตีนี และมาร์โก ฟาน บัสเทิน ต่อมาในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2012 เมสซีลงเล่นในลาลีกาเป็นนัดที่ 200 โดยเขายิงได้ 4 ประตู ในนัดแข่งกับบาเลนเซีย โดยผลคือทีมชนะ 5–1[159] ในวันที่ 7 มีนาคม เมสซีเป็นผู้เล่นคนแรกที่ยิงประตู 5 ประตูในแชมเปียนส์ลีก โดยได้ช่วยทีมป้องกันแชมป์ในนัดที่บาร์เซโลนาชนะบาเยอร์ 04 เลเฟอร์คูเซิน 7–1[160]
ต่อมาในวันที่ 20 มีนาคม เมสซียิงได้ 3 ประตูในนัดแข่งกับสโมสรฟุตบอลกรานาดา ทำให้เขาเป็นผู้ยิงประตูสูงสุดของบาร์เซโลนา แซงหน้านักฟุตบอลตำนาน เซซาร์ โรดรีเกซ อัลบาเรซ ที่เคยถือสถิติ ยิง 232 ประตู[161] ในวันที่ 2 พฤษภาคม เมสซียิงแฮตทริกในนัดแข่งกับสโมสรฟุตบอลมาลากา ทำให้เขาทำลายสถิติของเกิร์ด มึลเลอร์ (ที่ยิง 67 ประตูในฤดูกาล 1972-73) โดยเมสซียิงได้ 68 ประตู และเขาเป็นผู้ยิงประตูสูงสุดตลอดกาลของยุโรปใน 1 ฤดูกาล[162]
การแข่งขันระดับทีมชาติ
ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2004 เขาลงแข่งในฐานะทีมชาติอาร์เจนตินา โดยเล่นในชุดอายุไม่เกิน 20 ปีในนัดกระชับมิตรเจอกับทีมชาติปารากวัย[163] ในปี ค.ศ. 2005 เขาเป็นส่วนหนึ่งของทีมที่ชนะในฟีฟ่าเวิลด์ยูทแชมเปียนชิป ที่จัดขึ้นที่เนเธอร์แลนด์ โดยเขาได้รับรางวัลลูกบอลทองคำและรองเท้าทองคำ[164] เขายิงประตูใน 4 นัดสุดท้ายของอาร์เจนตินา รวมยิงได้ 6 ประตูในการแข่งขัน
เขาลงแข่งในฐานะทีมชาติเต็มตัวเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 2005 ในนัดเจอกับฮังการี เมื่อเขาอายุ 18 ปี เขาถูกส่งเปลี่ยนตัวลงสนามในนาทีที่ 63 แต่ก็ถูกผู้ตัดสินมาร์คุส แมร์ค ไล่ออกจากสนามในนาทีที่ 65 เนื่องจากเมสซีโขกหัวกับกองหลัง วิลมอช วอนซัก (Vilmos Vanczák) ที่พยายามดึงเสื้อเมสซี การตัดสินครั้งนี้ทำให้เป็นข้อถกเถียงกันและมาราโดนา ก็กล่าวถึงการตัดสินว่าผู้ตัดสินมีเจตนาล่วงหน้า[165][166] เมสซีกลับมาเล่นอีกครั้งในวันที่ 3 กันยายน ในรอบคัดเลือกที่อาร์เจนตินาไปเยือนปารากวัยและได้ชัยชนะมา 1–0 หลังจากนัดนี้เขาออกมาว่า นี่ถือเป็นนัดเปิดตัวอีกครั้ง ครั้งแรกถือว่าค่อนข้างสั้นไป[167] จากนั้นก็ลงแข่งกับเปรู หลังจากนัดนี้โคเซ เปเกร์มัน พูดถึงเมสซีว่า "คือ อัญมณี"[168]
เมื่อวันที่ 28 มีนาคม ค.ศ. 2009 ในรอบคัดเลือกฟุตบอลโลกที่เจอกับเวเนซุเอลา เมสซีสวมเสื้อเบอร์ 10 เป็นครั้งแรกให้กับอาร์เจนตินา ในนัดนี้เป็นนัดแรกอย่างเป็นทางการของผู้จัดการทีม เดียโก มาราโดนา อาร์เจนตินาชนะ 4–0 โดยเมสซีเป็นผู้ทำประตูแรก[169]
วันที่ 17 พฤศจิกายน ค.ศ. 2010 เมสซียิงประตูในนาทีสุดท้ายที่แข่งกับคู่ปรับสำคัญ บราซิล ทำให้ทีมชนะ 1–0 ในนัดกระชับมิตรครั้งนี้ที่แข่งกับที่เมืองโดฮา ถือเป็นครั้งแรกที่เขายิงประตูบราซิลในฐานะทีมชาติรุ่นใหญ่[170] เมสซียิงอีกประตูในนาทีสุดท้ายเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2011 ในนัดแข่งกับโปรตุเกส โดยยิงจุดโทษ ทำให้อาร์เจนตินาชนะ 2–1 ในนัดกระชับมิตรที่จัดขึ้นที่เจนีวา สวิตเซอร์แลนด์
ฟุตบอลโลก 2006
อาการบาดเจ็บของเมสซีทำให้เขาไม่ได้ลงใน 2 เดือนท้ายสุดของฤดูกาล 2005–06 ซึ่งทำให้เขาไม่ได้ลงเล่นในฟุตบอลโลก 2006 นัก แต่อย่างไรก็ตามเมสซีก็ยังได้รับเลือกให้ลงเล่นในชุดทีมชาติอาร์เจนตินาเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม ค.ศ. 2006 เขายังลงเล่นในนัดชิงชนะเลิศให้กับอาร์เจนตินาชุดอายุไม่เกิน 20 ปี อยู่ 15 นาทีและนัดกระชับมิตรที่เจอกับแองโกลา ตั้งแต่นาทีที่ 64[171][172] เขานั่งอยู่บนม้านั่งสำรองในนัดที่อาร์เจนตินาชนะต่อโกตดิวัวร์[173] ในนัดถัดมาที่เจอกับเซอร์เบียและมอนเตเนโกร เมสซีถือเป็นนักฟุตบอลทีมชาติอาร์เจนตินาที่อายุน้อยที่สุดที่ลงแข่งในฟุตบอลโลกเมื่อเขาออกมาแทนมักซี โรดรีเกซในนาทีที่ 74 เขาช่วงส่งประตูยิงให้กับเอร์นัน เกรสโปในไม่กี่นาทีหลังจากที่เขาลงสนามและยังช่วยยิงประตูในชัยชนะ 6–0 ทำให้เขาเป็นนักฟุตบอลที่อายุน้อยที่สุดในฟุตบอลโลก 2006 ที่ยิงประตูได้และเป็นนักฟุตบอลอายุน้อยที่สุดอันดับ 6 ที่ยิงประตูได้ในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลก[174]
ในนัดถัดมาเมสซีลงในการแข่งขันที่เสมอกับเนเธอร์แลนด์ 0–0[175] ต่อมาเจอกับเม็กซิโก โดยเมสซีลงเปลี่ยนตัวแทนในนาทีที่ 84 ในนัดนี้เสมอ 1–1 เขาสามารถยิงประตูได้แต่ก็ล้ำหน้า แต่อาร์เจนตินายิงประตูได้ในการต่อเวลาพิเศษ[176][177] ผู้ฝึกสอน โคเซ เปเกร์มันให้เมสซีนั่งอยู่ที่ม้านั่งสำรองในการแข่งขันรอบก่อนชิงชนะเลิศที่เจอกับเยอรมนี ที่พวกเขาแพ้ 4–2 ในการดวลจุดโทษ[178]
โคปาอเมริกา 2007
เมสซีลงเล่นเกมแรกของโคปาอเมริกา 2007 เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน ค.ศ. 2007 เมื่ออาร์เจนตินาชนะสหรัฐอเมริกา 4–1 ในเกมแรก โดยเขาได้แสดงความสามารถในฐานะเพลย์เมกเกอร์ เขาตั้งลูกทำประตูให้กับเพื่อนร่วมทีม เอร์นัน เกรสโปรและยิงเข้ากรอบหลายลูก เตเบซลงมาแทนเมสซีในนาทีที่ 79 และยิงประตูในอีกไม่กี่นาทีต่อมา[179]
นัดที่ 2 ของเขาแข่งกับโคลอมเบีย ที่เขาได้รับจุดโทษ ทำให้เกรสโปยิงตีเสมอ 1–1 เขายังเป็นส่วนหนึ่งของประตูที่ 2 ของอาร์เจนตินา โดยเขาได้ถูกทำฟาวล์นอกเขตโทษ ทำให้ควน โรมัน รีเกลเม ทำประตูได้จากลูกฟรีคิก และทำให้อาร์เจนตินานำเป็น 3–1 และจบประตูสุดท้ายของเกมที่ 4–2 ทำให้มั่นใจได้ว่าอาร์เจนตินาเข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศแน่นอน[180]
ในนัดที่ 3 แข่งกับปารากวัย โค้ชให้เมสซีพักเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับรอบก่อนรองชนะเลิศ โดยเขาได้ออกจากม้านั่งสำรองแทนเอสเตบัน กัมเบียสโซ ในนาทีที่ 64 กับประตูในขณะนั้นที่ 0–0 ต่อมาในนาทีที่ 79 เขาช่วยส่งลูกยิงประตูให้กับคาเบียร์ มาเชราโน[181] ในรอบรองชนะเลิศ แข่งกับเปรู เมสซียิงประตูที่ 2 ของเกมจากการส่งของรีเกลเม โดยจบที่ชัยชนะ 4–0[182] ในรอบรองชนะเลิศที่แข่งกับเม็กซิโก เมสซียิงลูกโด่งข้ามโอสวัลโด ซานเชซ ทำให้อาร์เจนตินาชนะ 3–0 เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ[183] แต่อาร์เจนตินาก็แพ้ 3–0 ในนัดชิงชนะเลิศกับบราซิล[184]
โอลิมปิกฤดูร้อน 2008
เมสซีถูกห้ามเล่นให้กับทีมชาติอาร์เจนตินาระหว่างเกมในโอลิมปิกฤดูร้อน 2008[185] แต่ท้ายสุดบาร์เซโลนาตกลงว่าปล่อยเขาให้เล่นหลังจากได้จัดการพูดคุยกับ โค้ชคนใหม่ ชูเซบ กวาร์ดีโอลา[186] เขาลงเล่นกับทีมชาติอาร์เจนตินาและทำประตูแรกในประตู 2–1 ที่ชนะโกตดิวัวร์[186] จากนั้นยิงประตูเปิดเกมและช่วยส่งลูกยิงให้กับอังเคล ดิ มาเรียในประตูที่ 2 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ ทำให้ทีมชนะเนเธอร์แลนด์ 2–1[187] เขายิงลงแข่งในนัดพบกับคู่ปรับ บราซิล ที่อาร์เจนตินาชนะ 3–0 เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ในนัดชิงเหรียญทอง เมสซีช่วยส่งลูกอีกครั้งให้กับดิ มาเรีย ในประตูเดียวของเกม 1–0 ทำให้ทีมชนะไนจีเรีย[188]
ฟุตบอลโลก 2010
เมสซีลงแข่งตลอดเกมในนัดแรกที่อาร์เจนตินาพบกับไนจีเรีย ชนะไป 1–0 เขามีโอกาสในการทำประตูหลายครั้ง แต่วินเซนต์ เอนเยมา ก็รักษาประตูไว้ได้[189] เมสซีลงแข่งในนัดเจอกับเกาหลีใต้ ชนะด้วยประตู 4–1 โดยเขามีส่วนร่วมในการทำประตูทุกประตูของทีม และช่วยกอนซาโล อีกวาอินยิงแฮตทริก[190] ในนัดที่ 3 และนัดสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่ม เมสซีนำทีมอาร์เจนตินาชนะกรีซ และเขาได้รับเลือกให้เป็นผู้เล่นแห่งนัด[191]
ในรอบ 16 ทีม เขาช่วยส่งลูกยิงประตูให้กับการ์โลส เตเบซ ในประตูแรกที่อาร์เจนตินาชนะเม็กซิโก 3–1 ผู้ตัดสินให้ประตูถึงแม้ว่าจะไม่กระจ่างว่าล้ำหน้าหรือไม่[192] อาร์เจนตินาจบการแข่งขันในฟุตบอลครั้งนี้ด้วยการแพ้ให้กับเยอรมนี 4–0[193]
โคปาอเมริกา 2011
เขาเป็นส่วนหนึ่งในทีมชาติอาร์เจนตินาในการแข่งขันโคปาอเมริกา 2011 เขาไม่สามารถยิงประตูได้แต่ช่วยส่งยิงประตู 3 ประตู เขาได้รับเลือกเป็นผู้เล่นแห่งนัดในนัดแข่งกันโบลิเวีย (1–1) และคอสตาริกา (3–0) อาร์เจนตินาเสมอกับโคลอมเบียและตกรอบเมื่อเจอกับอุรุกวัยจากการดวลลูกโทษ โดยเมสซีดวลจุดโทษเป็นคนแรก
ด้านอื่น
ชีวิตส่วนตัว
เมสซีคบหากับมาซาเรนา เลโมส ที่มาจากบ้านเกิดเดียวกันที่โรซารีโอ กล่าวกันว่าทั้งคู่รู้จักกันจากการแนะนำของพ่อของฝ่ายหญิง เมื่อครั้งที่เขากลับมารักษาตัวจากการบาดเจ็บในโรซารีโอ ไม่กี่วันก่อนที่จะเริ่มการแข่งขันฟุตบอลโลก 2006[194][195] เขาเคยมีความสัมพันธ์กับนางแบบชาวอาร์เจนตินา ลูเซียนา ซาลาซาร์[196][197] ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2009 เขาบอกทางรายการ "แฮตทริกบาร์ซา" ช่องกานัล 33 ว่า "ผมมีแฟนสาวและเธออยู่ที่อาร์เจนตินา ผมรู้สึกผ่อนคลายและมีความสุข"[197] นอกจากนั้นยังพบเมสซีกับหญิงสาวอีกคนชื่อ อันโตเนลลา รอกกุซโซ[198] ที่งานในเมืองซิดเจส หลังจากนัดการแข่งขันดาร์บี บาร์เซโลนา-เอสปันยอล รอกกุซโซเป็นชาวโรซารีโอเช่นกัน[199]
เมสซีมีลูกพี่ลูกน้อง 2 คนในวงการฟุตบอล คนหนึ่งคือ มักซี ปีกของสโมสรกลุบโอลิมเปียในปารากวัย และเอมานวยล์ เบียนกุชชี เล่นเป็นกองกลางให้กับสโมสรฟุตบอลคีโรนาของสเปน[200][201]
งานการกุศล
ในปี ค.ศ. 2007 เมสซีได้ก่อตั้งมูลนิธิเลโอเมสซี ที่ช่วยเหลือการกุศลได้ด้านการศึกษาและสุขภาพให้กับเด็กผู้ด้อยโอกาส[202][203] ในบทสัมภาษณ์เว็บแฟนไซต์ เมสซีกล่าวว่า "การมีชื่อเสียงเล็กน้อย ทำให้ผมได้มีโอกาสที่จะช่วยเหลือคนที่ต้องการจริง ๆ โดยเฉพาะเด็ก ๆ"[204] และเพื่อตอบสนองต่ออุปสรรคด้านการแพทย์ในวัยเด็กของเขา มูลนิธิเลโอเมสซี ได้สนับสนุนการช่วยเหลือกับเด็กอาร์เจนตินาที่ได้รับวินิจฉัยว่าเป็นโรคที่มีความยุ่งยากด้านการรักษา โดยเสนอการรักษาในสเปนและออกค่าใช้จ่ายการเดินทาง การพยาบาล และการฟื้นฟู[205] มูลนิธิของเมสซีได้รับเงินจากกิจกรรมการหารายได้ของเขาเอง และความช่วยเหลือจากเฮอร์บอไลฟ์
เมื่อวันที่ 11 มีนาคม ค.ศ. 2010 เมสซีได้รับเป็นทูตสันถวไมตรีจากยูนิเซฟ[206] โดยจุดประสงค์การทำงานของเขาเพื่อสนับสนุนสิทธิของเด็ก เมสซีได้รับการสนับสนุนจากสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนาซึ่งทำงานร่วมกับยูนิเซฟ[207]
สื่อ
เขาปรากฏบนปกของวิดีโอเกมอย่าง โปรเอโวลูชันซอกเกอร์ 2009 และ โปรเอโวลูชันซอกเกอร์ 2011 และยังเกี่ยวข้องในการประชาสัมพันธ์เกมนี้ด้วย[208] เมสซีและเฟร์นันโด ตอร์เรส[209] อยู่บนปกของ โปรเอโวลูชันซอกเกอร์ 2010 และยังปรากฏในเทรลเลอร์ภาพเคลื่อนไหวของเกม[210][211][212] เมสซีได้รับการสนับสนุนจากบริษัทชุดกีฬาเยอรมัน อาดิดาส ซึ่งเขาก็ปรากฏอยู่บนภาพยนตร์โฆษณา[213] ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2010 เมสซีเซ็นสัญญา 3 ปีกับเฮอร์บอไลฟ์[214] ซึ่งสนับสนุนการช่วยเหลือมูลนิธิเลโอเมสซี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น